เหล็กข้ออ้อย คืออะไร?
เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) เป็นเหล็กเส้นชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นวัสดุหลักในงานก่อสร้าง โดยเฉพาะในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างคอนกรีต เหล็กข้ออ้อยมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากเหล็กเส้นทั่วไป (เหล็กเส้นกลมหรือเหล็กรีดร้อน) คือมีลวดลายหรือรอยนูนขึ้นมาตามแนวยาวของเหล็ก ซึ่งเรียกว่า “ข้ออ้อย” หรือ “ร่องข้ออ้อย”
สินค้าเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar)
สินค้าเหล็กข้ออ้อยเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีความสำคัญในโครงการก่อสร้างหลากหลายประเภท เนื่องจากมีความแข็งแรงสูงและสามารถยึดเกาะกับคอนกรีตได้ดี เหล็กข้ออ้อยมักใช้ในการเสริมแรงโครงสร้างคอนกรีตเพื่อเพิ่มความมั่นคงและปลอดภัยให้กับโครงสร้าง
คุณสมบัติของสินค้าเหล็กข้ออ้อย
- ความแข็งแรงสูง: เหล็กข้ออ้อยมีความแข็งแรงสูง ทำให้สามารถรับน้ำหนักและแรงดึงได้ดี
- ความทนทาน: เหล็กข้ออ้อยมีความทนทานต่อการกัดกร่อนและสภาพอากาศ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสภาวะแวดล้อม
- การยึดเกาะกับคอนกรีต: ผิวของเหล็กข้ออ้อยมีลักษณะเป็นข้อๆ หรือบั้งๆ ซึ่งช่วยเพิ่มการยึดเกาะกับคอนกรีต ทำให้โครงสร้างมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- มาตรฐานการผลิต: เหล็กข้ออ้อยที่ดีต้องผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น มอก. 24-2548 (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นข้ออ้อยสำหรับงานก่อสร้าง)
ขนาดและน้ำหนักของเหล็กข้ออ้อย
เหล็กข้ออ้อยมีหลายขนาดและน้ำหนักให้เลือกใช้ตามความต้องการของโครงการก่อสร้าง ขนาดที่ใช้บ่อยได้แก่:
- เหล็กข้ออ้อย ขนาด 10 มม.: น้ำหนักประมาณ 0.62 กก./ม.
- เหล็กข้ออ้อย ขนาด 12 มม.: น้ำหนักประมาณ 0.89 กก./ม.
- เหล็กข้ออ้อย ขนาด 16 มม.: น้ำหนักประมาณ 1.58 กก./ม.
- เหล็กข้ออ้อย ขนาด 20 มม.: น้ำหนักประมาณ 2.47 กก./ม.
ลักษณะของเหล็กข้ออ้อยที่ดี
การเลือกเหล็กข้ออ้อยที่ดีขึ้นอยู่กับชนิดของโครงสร้างเป็นสำคัญ ลักษณะของเหล็กข้ออ้อยที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
- ระยะบั้งเท่ากันและสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น
- ไม่มีตำหนิ ไม่มีสนิม
- ไม่มีรอยแตกร้าว ไม่ปริแตกหรือหักง่าย
- น้ำหนักและเส้นผ่านศูนย์กลางถูกต้องตามมาตรฐาน
ครีบและบั้งของเหล็กข้ออ้อย
เหล็กข้ออ้อยแตกต่างจากเหล็กเส้นกลมตรงที่มีครีบและบั้ง ซึ่งช่วยเพิ่มการยึดเกาะของเหล็กกับเนื้อคอนกรีตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- บั้ง : ควรมีระยะที่เท่ากันตลอดทั้งเส้น และทำมุมไม่ต่ำกว่า 45 องศากับแกนของเหล็กข้ออ้อย
- ครีบ : ควรมีอยู่กึ่งกลางระหว่างบั้งตลอดทั้งเส้น
การใช้งานของเหล็กข้ออ้อย
เหล็กข้ออ้อยถูกนำมาใช้ในหลากหลายงานก่อสร้าง เช่น
- การเสริมแรงคอนกรีต: ใช้ในการเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างคอนกรีต เช่น เสา คาน พื้น และผนัง
- การทำโครงสร้างสะพาน: ใช้ในการสร้างโครงสร้างสะพานที่ต้องการความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานหนัก
- การสร้างอาคารสูง: ใช้ในการทำโครงสร้างหลักของอาคารสูง เพื่อเพิ่มความมั่นคงและปลอดภัย
- งานโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ: ใช้ในการทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน ทางรถไฟ และระบบสาธารณูปโภค
เหล็กข้ออ้อยที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร?
- คุณสมบัติทางกายภาพ
เหล็กข้ออ้อยที่ดีต้องมีความแข็งแรงและทนต่อแรงดึง (Tensile Strength) ได้ดี มักจะวัดโดยหน่วยนิวตันต่อตารางมิลลิเมตร (N/mm²) เหล็กที่มีคุณภาพจะต้องสามารถทนต่อแรงดึงได้สูง เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงต่าง ๆ ที่กระทำต่อโครงสร้าง
- ค่ากำลังรับแรงดึง (Tensile Strength): เหล็กข้ออ้อยควรมีค่ากำลังรับแรงดึงสูง เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงเคลื่อนที่ของโครงสร้างได้เป็นอย่างดี ค่านี้มักจะอยู่ที่ประมาณ 400 ถึง 500 N/mm² ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการผลิต
- ความทนทานต่อการเปลี่ยนรูป (Ductility): เหล็กข้ออ้อยที่ดีต้องสามารถโค้งงอได้ในระดับที่เหมาะสมโดยไม่แตกหัก เพื่อช่วยให้โครงสร้างสามารถรองรับแรงดันที่เกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างหรือการใช้งานได้
- รูปลักษณ์ภายนอกและพื้นผิวของเหล็ก
พื้นผิวของเหล็กข้ออ้อยควรมีลักษณะเป็นลวดลาย (ที่เรียกว่า “ข้ออ้อย”) ช่วยเพิ่มความยึดเกาะระหว่างเหล็กและคอนกรีต โดยลวดลายเหล่านี้จะช่วยให้คอนกรีตจับกับเหล็กได้ดีขึ้น ลดการลื่นไถลในระหว่างการก่อสร้างหรือเมื่อต้องรับแรงดันจากน้ำหนักโครงสร้าง
- ลวดลายของเหล็กข้ออ้อย (Deformation): ลักษณะของข้ออ้อยต้องชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะกับคอนกรีต ดังนั้นการออกแบบลวดลายที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยให้โครงสร้างมีความทนทานมากขึ้น
- ผิวเหล็กเรียบและไม่มีสนิม: เหล็กที่มีคุณภาพจะต้องไม่มีรอยสนิมหรือสิ่งสกปรกติดบนพื้นผิว การที่เหล็กมีสนิมหรือการกัดกร่อนจะลดความแข็งแรงและประสิทธิภาพของวัสดุ นอกจากนี้ ผิวเหล็กควรเรียบไม่มีรอยแตกหรือรอยตำหนิ
- ขนาดและเส้นผ่านศูนย์กลางที่สม่ำเสมอ
ขนาดของเหล็กข้ออ้อยควรมีความสม่ำเสมอ โดยทั่วไปเหล็กข้ออ้อยจะมีหลายขนาดตามความต้องการของงานก่อสร้าง ขนาดมาตรฐานมักมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 6 มิลลิเมตร ไปจนถึง 40 มิลลิเมตร การมีขนาดที่สม่ำเสมอจะช่วยให้โครงสร้างมีความแข็งแรงและมั่นคง
- ความสม่ำเสมอของเส้นผ่านศูนย์กลาง: ขนาดของเหล็กต้องสม่ำเสมอตลอดความยาว ไม่บางหรือหนาในบางจุด เพราะจะส่งผลต่อการรองรับแรงดันและน้ำหนักของโครงสร้าง
- ความตรงของเหล็ก: เหล็กข้ออ้อยต้องมีลักษณะตรงและไม่คดงอ อาจส่งผลให้การติดตั้งในโครงสร้างไม่สมบูรณ์และลดความแข็งแรงของโครงสร้าง
- ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
เหล็กข้ออ้อยที่ดีจะต้องทนทานต่อการกัดกร่อน อย่างการเกิดสนิมได้ดี โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรือมีสารเคมี การเคลือบสารป้องกันสนิมหรือใช้เหล็กที่ผลิตจากวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อน จะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของเหล็ก
- การเคลือบสารป้องกันสนิม: ในบางกรณี เหล็กข้ออ้อยอาจได้รับการเคลือบด้วยสารป้องกันสนิม เช่น กัลวาไนซ์ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ช่วยป้องกันการเกิดสนิมได้ดีขึ้น
- ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ: เหล็กข้ออ้อยที่ดีต้องทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้น เพื่อป้องกันการแตกหักหรือเปราะง่าย
- ความยืดหยุ่นและการดัดโค้ง
เหล็กข้ออ้อยที่มีคุณภาพดีต้องสามารถดัดโค้งได้ตามต้องการโดยไม่แตกหัก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้ในโครงสร้างที่ต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้ง เช่น ในโครงสร้างที่มีรูปทรงซับซ้อน
ส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติทางกลของเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar)
ตารางเหล็กเส้นข้ออ้อย
ส่วนประกอบทางเคมี
ชั้นคุณภาพ |
ส่วนประกอบทางเคมีไม่เกินร้อยละโดยน้ำหนัก |
||||
คาร์บอน |
แมงกานีส |
ฟอสฟอรัส |
กำมะถัน |
คาร์บอน+แมงกานีส/6 |
|
SD 30 |
0.27 |
– |
0.05 |
0.05 |
0.50 |
คุณสมบัติทางกล
คุณสมบัติทางกล |
||||||
ชั้นคุณภาพ |
ความต้านแรงดึงสูงสุด |
ความต้านแรงดึงที่จุดคราก (กก./ตร.มม.) |
ความยืด |
การทดสอบดัดโค้งเย็น |
||
มุมดัดโค้งเย็น |
เส้นผ่านศูนย์กลาง |
|||||
SD 30 |
480 (49) |
295 (30) |
17 |
180 |
4 เท่า |
|
SD 40 |
560 (57) |
390 (40) |
15 |
180 |
5 เท่า |
|
SD 50 |
620 (63) |
490 (50) |
13 |
180 |
5 เท่า |
ขนาดและน้ำหนัก
ขนาดและน้ำหนักระบุ |
|||
ชื่อขนาด |
เส้นผ่านศูนย์กลาง (มม.) |
พื้นที่ภาคตัดขวาง (ตร.มม.) |
น้ำหนัก (กก./ม.) |
DB 10 |
10 |
78.54 |
0.616 |
ประโยชน์ของเหล็กข้ออ้อยในงานก่อสร้าง
- เพิ่มความแข็งแรงให้คอนกรีต: คอนกรีตมีความสามารถในการรับแรงอัดได้ดี แต่มีจุดอ่อนในการรับแรงดึง เมื่อใช้เหล็กข้ออ้อยร่วมกับคอนกรีต จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึง ทำให้โครงสร้างทนทานขึ้น
- ลดการเลื่อนของเหล็กในคอนกรีต: ลวดลายเหล็กข้ออ้อย จะช่วยยึดเหล็กให้อยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงภายในคอนกรีต ลดความเสี่ยงในการที่เหล็กจะเลื่อนหรือขยับเมื่อโครงสร้างต้องรับแรงกระทำ แรงดึงหรือแรงอัด
- เหมาะสำหรับโครงสร้างขนาดใหญ่: เหล็กข้ออ้อยถูกใช้อย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานอาคารสูง สะพาน ถนน หรือฐานรากของอาคาร เนื่องจากเหล็กชนิดนี้มีความแข็งแรงและทนทานสูง นอกจากทนทานต่อแรงดึงและแรงอัดได้ดีแล้ว ยังทนต่อสภาพแวดล้อมได้อีกด้วย
มาตรฐานการผลิตเหล็กข้ออ้อยในประเทศไทยและต่างประเทศ
- มาตรฐานการผลิตเหล็กข้ออ้อยในประเทศไทย
ในประเทศไทย มาตรฐานการผลิตเหล็กข้ออ้อยถูกกำหนด โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งมีมาตรฐานหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเหล็กเส้นข้ออ้อย ดังนี้
- มาตรฐาน มอก. 24-2559
มาตรฐาน มอก. 24-2559 คือมาตรฐานสำหรับเหล็กข้ออ้อยหรือเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ซึ่งกำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น
- คุณสมบัติทางกายภาพ: กำหนดขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง น้ำหนัก และค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเหล็กมีขนาดและน้ำหนักตามที่กำหนด
- ค่ากำลังรับแรงดึง (Tensile Strength): ระบุถึงความสามารถของเหล็กในการรับแรงดึง โดยปกติเหล็กข้ออ้อยต้องมีค่ากำลังรับแรงดึงสูงกว่าเหล็กเส้นธรรมดา
- ค่ากำลังรับแรงยืด (Yield Strength): กำหนดความสามารถของเหล็กในการรับแรงยืดโดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหรือความเสียหาย
- การทดสอบการดัดโค้ง (Bend Test): เหล็กข้ออ้อยต้องผ่านการทดสอบการดัดโค้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถโค้งงอได้โดยไม่แตกหัก
- มาตรฐาน มอก. 20-2559
มอก. 20-2559 เป็นมาตรฐานที่ใช้กับเหล็กเส้นกลมสำหรับเสริมคอนกรีต มาตรฐานนี้เน้นไปที่เหล็กที่ใช้ในงานคอนกรีตที่ต้องการความแข็งแรงน้อยกว่าเหล็กข้ออ้อย
- มาตรฐานการผลิตเหล็กข้ออ้อยในต่างประเทศ
ในระดับสากล มาตรฐานการผลิตเหล็กข้ออ้อยจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคหรือประเทศที่ใช้งาน ตัวอย่างมาตรฐานหลัก ๆ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ได้แก่
2.1) มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials)
มาตรฐาน ASTM จากสหรัฐอเมริกา เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเหล็กข้ออ้อยมีหลายฉบับ เช่น
- มาตรฐาน ASTM A615: เป็นมาตรฐานสำหรับเหล็กข้ออ้อยคาร์บอนที่ใช้เสริมคอนกรีต กำหนดให้เหล็กต้องมีความทนทานต่อแรงดึงและแรงอัดสูง มีความยืดหยุ่นที่เพียงพอสำหรับการโค้งงอในกระบวนการก่อสร้าง
- มาตรฐาน ASTM A706: เป็นมาตรฐานสำหรับเหล็กข้ออ้อยที่ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการโค้งงอได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น งานก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว
- มาตรฐาน ASTM A1035: เป็นมาตรฐานสำหรับเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงพิเศษ ใช้ในโครงสร้างที่ต้องการรองรับน้ำหนักมากและมีความทนทานต่อการกัดกร่อน
2.2) มาตรฐาน BS (British Standards)
BS 4449 เป็นมาตรฐานจากสหราชอาณาจักรที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต มาตรฐานนี้มีการกำหนดค่ากำลังรับแรงดึง ความยืดหยุ่น และการทดสอบต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกับมาตรฐาน ASTM นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการเคลือบสารป้องกันสนิมในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
2.3) มาตรฐาน JIS (Japanese Industrial Standards)
มาตรฐาน JIS G3112 จากประเทศญี่ปุ่นกำหนดคุณสมบัติของเหล็กข้ออ้อยสำหรับใช้เสริมคอนกรีตในงานก่อสร้าง มาตรฐานนี้เน้นเรื่องความแข็งแรง การทนทานต่อแรงดึงและแรงอัด รวมถึงความยืดหยุ่นที่ดี ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เช่นเดียวกับมาตรฐาน ASTM A706
วิธีการเลือกเหล็กข้ออ้อยที่มีคุณภาพสำหรับงานก่อสร้าง
- มาตรฐานการผลิต
การเลือกซื้อเหล็กข้ออ้อยที่มีคุณภาพสำหรับงานก่อสร้างนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เริ่มจากการตรวจสอบมาตรฐานการผลิต โดยควรเลือกเหล็กที่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อาทิ มาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐาน ASTM เพื่อยืนยันถึงคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของเหล็ก นอกจากนี้ ค่ากำลังรับแรงดึงและแรงยืดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบ เนื่องจากเหล็กที่มีคุณภาพจะต้องมีค่าดังกล่าวอยู่ในช่วงที่เหมาะสมตามความต้องการของโครงการ
- คุณลักษณะภายนอกของเหล็กข้ออ้อย
ในส่วนของลักษณะภายนอก เหล็กควรมีลวดลายข้ออ้อยที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะกับคอนกรีต และควรมีพื้นผิวที่เรียบ ไม่มีรอยแตกหรือสนิมที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรง การเลือกขนาดและเส้นผ่านศูนย์กลางที่เหมาะสมตามแผนการออกแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะขนาดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้โครงสร้างมีจุดอ่อน
- ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
นอกจากนี้ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีที่เหล็กข้ออ้อยจะถูกใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือสารเคมี ควรเลือกเหล็กข้ออ้อยที่มีการเคลือบสารป้องกันสนิมเพื่อยืดอายุการใช้งาน การเลือกจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในตลาดยังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะผู้ผลิตที่มีประวัติการผลิตที่ดีมักจะมีมาตรฐานการควบคุมคุณภาพสูง
เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) เป็นวัสดุก่อสร้างที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเสริมความแข็งแรงให้กับงานโครงสร้างที่ใช้คอนกรีตเป็นหลัก โดยเฉพาะในงานที่ต้องการการรองรับน้ำหนักและความทนทานต่อแรงดึงเป็นพิเศษ เหล็กข้ออ้อยมีลักษณะผิวที่เป็นร่องหรือมีปุ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มการยึดเกาะกับคอนกรีตได้ดี ทำให้โครงสร้างแข็งแรงและมั่นคงยิ่งขึ้น จึงเหมาะกับการใช้งานในโครงการต่าง ๆ ที่ต้องการมาตรฐานสูง ดังนี้:
- งานก่อสร้างอาคารที่ต้องการความแข็งแรง: เหล็กข้ออ้อยถูกนำมาใช้ในเสาและคานของอาคารขนาดใหญ่และสูง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับน้ำหนักและเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง
- งานคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นและผนัง: เหล็กข้ออ้อยมักใช้ร่วมกับคอนกรีตในการสร้างพื้นและผนังที่ต้องการความคงทน โดยเฉพาะในโครงการที่ต้องการความปลอดภัยสูง
- งานก่อสร้างทางวิศวกรรมขนาดใหญ่: เช่น การสร้างสะพาน ถนน หรือโครงสร้างอื่น ๆ ที่ต้องรองรับการใช้งานหนักและทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทก
- งานโครงสร้างฐานรากและโครงสร้างรองรับ: เหล็กข้ออ้อยช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับฐานรากและโครงสร้างรองรับต่าง ๆ เช่น ฐานรากของอาคารและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้โครงสร้างมีความมั่นคงและสามารถรองรับน้ำหนักได้มาก
เหล็กข้ออ้อยจึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญสำหรับโครงการที่ต้องการคุณภาพและความแข็งแรงสูง ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างได้เป็นอย่างดี
เหตุผลที่ควรเลือกซื้อเหล็กข้ออ้อยจากเรา
- คุณภาพสูง: ผลิตภัณฑ์ของเราผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานสากล
- ราคายุติธรรม: เรานำเสนอราคาที่แข่งขันได้และคุ้มค่าต่อการลงทุน
- บริการครบวงจร: เรามีบริการจัดส่งที่รวดเร็วและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้งานเหล็กข้ออ้อย
เหล็กข้ออ้อยเป็นวัสดุก่อสร้างที่ขาดไม่ได้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ด้วยความแข็งแรง ทนทาน และคุณสมบัติที่หลากหลาย เรามีความยินดีที่จะเสนอเหล็กข้ออ้อยคุณภาพสูงในราคาที่เป็นมิตร พร้อมบริการที่ยอดเยี่ยมเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
ร้านขายเหล็ก พรณรงค์ โลหะกิจ (Phornnarong Lohakit) เจ้าใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี