เหล็กกล่อง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณกลวง เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีความสำคัญในงานก่อสร้างหลากหลายประเภท เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักเบา เหล็กกล่องมักใช้ในการทำโครงสร้างอาคาร โรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ read more
คุณสมบัติของเหล็กกล่อง
- ความแข็งแรง : เหล็กกล่องมีความแข็งแรงสูง สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก และทนทานต่อแรงดึงและแรงกด
- น้ำหนักเบา : เหล็กกล่องมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กประเภทอื่น ทำให้สะดวกต่อการขนย้ายและติดตั้ง
- ความทนทาน : เหล็กกล่องมีความทนทานต่อการกัดกร่อนและสภาพอากาศ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสภาวะแวดล้อม
- การใช้งานที่หลากหลาย : เหล็กกล่องสามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้างหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้างหลักหรือโครงสร้างรอง
- มาตรฐานการผลิต : เหล็กกล่องที่ดีต้องผลิตตามมาตรฐานสากล เช่น มอก., ASTM, หรือ JIS
ขนาดและน้ำหนักของเหล็กกล่อง
เหล็กกล่องมีหลายขนาดและน้ำหนักให้เลือกใช้ตามความต้องการของโครงการก่อสร้าง ขนาดที่ใช้บ่อยได้แก่
- เหล็กกล่อง ขนาด 50×50 มม. : ความหนา 2.0 มม. น้ำหนักประมาณ 3.14 กก./ม.
- เหล็กกล่อง ขนาด 75×75 มม. : ความหนา 3.2 มม. น้ำหนักประมาณ 6.98 กก./ม.
- เหล็กกล่อง ขนาด 100×100 มม. : ความหนา 4.5 มม. น้ำหนักประมาณ 13.7 กก./ม.
- เหล็กกล่อง ขนาด 150×150 มม. : ความหนา 6.0 มม. น้ำหนักประมาณ 24.7 กก./ม.
- เหล็กกล่อง ขนาด 200×200 มม. : ความหนา 8.0 มม. น้ำหนักประมาณ 38.8 กก./ม.
ประเภทของเหล็กกล่อง
เหล็กกล่องเป็นวัสดุก่อสร้างที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากผู้ผลิตออกแบบออกมาให้มีหลากหลายประเภท เพื่อให้ตอบรับกับการใช้งานที่หลากหลายในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละประเภทต่างมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมแบน (Rectangular Hollow Section – RHS)
เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มักใช้ในงานก่อสร้างและโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและความเสถียรสูง เช่น โครงสร้างของอาคาร โรงงาน หรือสะพาน เหล็กกล่องชนิดนี้จะมีความสามารถในการรับแรงกดและแรงดึงได้ดี อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นในด้านการออกแบบและติดตั้ง ทำให้ถือเป็นหนึ่งในเหล็กกล่องที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในเกือบทุกอุตสาหกรรมก่อสร้างเลยทีเดียว
2.เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square Hollow Section – SHS)
เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมมีลักษณะเป็นท่อสี่เหลี่ยมจัตุรัสภายในกลวง เป็นมุมตั้งฉาก 90 องศา พื้นผิวเรียบไม่หยาบ ไม่เป็นสนิม และได้รับการผลิตขนาดเท่ากันทุก ๆ เส้น ทำให้มีคุณสมบัติด้านความแข็งแรงในทิศทางที่เท่ากันทั้งในแนวแกน X และ Y เหมาะสำหรับการใช้ในโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงแบบสม่ำเสมอ เช่น การทำโครงสร้างเสา ราวกันตก หรือกรอบประตูและหน้าต่าง ใช้ทดแทนงานไม้และคอนกรีตได้ นอกจากนี้ เหล็กกล่องชนิดนี้ยังมีความง่ายในการเชื่อมต่อและติดตั้ง จึงถูกนำมาผลิตเป็นงานเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเช่นกัน
3.เหล็กกล่องรอบ เหล็กแป๊บกลม หรือ ท่อกลม (Circular Hollow Section – CHS)
เหล็กกล่องรอบมีรูปทรงเป็นวงกลม นิยมใช้ในงานที่ต้องการความแข็งแรงสม่ำเสมอทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง เช่น เสาและคานในโครงสร้างอาคาร เหล็กกล่องชนิดนี้จะมีความทนทานต่อการบิดเบี้ยวและการหักงอได้ดีเยี่ยม ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานก่อสร้างในพื้นที่ที่ต้องการความเสถียรสูง
4.เหล็กกล่องเคลือบ (Coated Steel Tubing)
เหล็กกล่องที่ได้รับการเคลือบผิวด้วยสารป้องกันการกัดกร่อน เช่น สังกะสี (galvanized) หรือสารเคลือบพิเศษเพื่อเพิ่มความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่มีความชื้น และต้องการการป้องกันการกัดกร่อนเพิ่มเติม เหล็กกล่องชนิดนี้มักใช้ในงานก่อสร้างที่มีระดับความชื้นสัมพัทธ์สูง หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันมีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น งานโครงสร้างภายนอกหรือในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับสารเคมี
5.เหล็กกล่องขนาดพิเศษ (Specialty Steel Tubing)
เหล็กกล่องพิเศษที่ผลิตตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า เช่น เหล็กกล่องขนาดพิเศษที่ผลิตนอกเหนือขนาดพื้นฐานในตลาด เหล็กกล่องที่มีการปรับเปลี่ยนขนาดหรือความหนาตามการใช้งานของลูกค้า
การใช้งานของเหล็กกล่อง
เหล็กกล่องถูกนำมาใช้ในหลากหลายงานก่อสร้าง เช่น
- โครงสร้างอาคาร : ใช้ในการทำโครงสร้างหลักของอาคาร เช่น เสา คาน และโครงหลังคา
- งานโครงสร้างโรงงาน : ใช้ในการทำโครงสร้างโรงงานและโกดัง เพื่อให้มีความมั่นคงและปลอดภัย
- การทำโครงสร้างสะพาน : ใช้ในการสร้างโครงสร้างสะพานที่ต้องการความแข็งแรงและทนทาน
- งานโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ : ใช้ในการทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ทางรถไฟ ถนน และระบบสาธารณูปโภค
เหตุผลที่ควรเลือกซื้อเหล็กกล่องจากเรา
- คุณภาพสูง : ผลิตภัณฑ์ของเราผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานสากล
- ราคายุติธรรม : เรานำเสนอราคาที่แข่งขันได้และคุ้มค่าต่อการลงทุน
- บริการครบวงจร : เรามีบริการจัดส่งที่รวดเร็วและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้งานเหล็กกล่อง
เหล็กกล่องเป็นวัสดุก่อสร้างที่ขาดไม่ได้ในงานก่อสร้างหลากหลายประเภท ด้วยความแข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักเบา เรามีความยินดีที่จะเสนอเหล็กกล่องคุณภาพสูงในราคาที่เป็นมิตร พร้อมบริการที่ยอดเยี่ยมเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
เหล็กกล่องต่างจากเหล็กประเภทอื่น ๆ อย่างไร?
เหล็กกล่อง (Hollow Section Steel) แตกต่างจากเหล็กประเภทอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กแผ่น เหล็กเส้น หรือเหล็กฉากตรงที่ลักษณะจำเพาะ ซึ่งเหล็กกล่องจะมีลักษณะเป็นแท่งทรงกล่องที่กลวง ส่งผลให้มีคุณสมบัติและรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างจากเหล็กประเภทอื่น โดยเฉพาะความสามารถในการรองรับน้ำหนัก เพราะเหล็กกล่องจะมีหน้าตัดเป็นรูปเหลี่ยมทึบ ไม่ได้เป็นปีก ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักและแรงต้านทานในการใช้งานได้ดีกว่าเหล็กอื่น ๆ เหมาะสำหรับการใช้ในโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคงและทนทาน เช่น โครงสร้างของอาคารและราวกันตก เป็นต้น
คุณสมบัติของเหล็กกล่องคุณภาพสูง
เหล็กกล่องคุณภาพสูงเป็นวัสดุก่อสร้างที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิต เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่น ซึ่งทำให้มันมีความทนทานและเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยมีคุณสมบัติที่ส่งผลต่อคุณภาพและประสิทธิภาพของงานก่อสร้างและการผลิต ดังนี้
1.ความแข็งแรงและทนทาน
เหล็กกล่องคุณภาพสูงจะมาพร้อมกับคุณสมบัติด้านความแข็งแรงและทนทานต่อแรงดึงและแรงกดได้ดีเยี่ยม เนื่องจากผลิตขึ้นจากวัสดุเหล็กกล้าที่มีคุณภาพสูงและนำมาผ่านกระบวนการผลิตที่เข้มงวดได้มาตรฐานสากล ทำให้เหล็กกล่องสามารถรับภาระได้มากกว่าหรือเท่ากับเหล็กกล่องทั่วไป เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัยสูง เช่น ในโครงสร้างอาคารและสะพาน
2.ความต้านทานการกัดกร่อน
เหล็กกล่องคุณภาพสูงมักได้รับการเคลือบผิวหรือใช้เทคนิคการป้องกันการกัดกร่อน เพื่อให้มีความต้านทานต่อการเกิดสนิมและการกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย พร้อมต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น การใช้สารเคลือบกันสนิมหรือการชุบสังกะสี ช่วยยืดอายุการใช้งานของเหล็กกล่องและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว
3.ความแม่นยำในการผลิต
กระบวนการผลิตเหล็กกล่องคุณภาพสูงมักมีการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด มีการระบุคุณภาพมาตรฐานในระดับสากลรับรอง เพื่อให้ได้ขนาดและรูปร่างที่แม่นยำ ซึ่งสำคัญต่อการติดตั้งและการใช้งานในงานก่อสร้างหรือการผลิต เช่น การใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยและมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด อีกทั้งบนเหล็กกล่องทุกขนาดจะมีการระบุ มอก. หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดไว้ลงไปด้วย เพื่อให้เป็นไปตามประสิทธิภาพของการใช้งานที่ตั้งไว้
4.ความยืดหยุ่นและการออกแบบ
เหล็กกล่องคุณภาพสูงสามารถออกแบบให้มีขนาดและรูปร่างที่หลากหลายตามความต้องการเฉพาะของโครงการ เช่น การผลิตเหล็กกล่องที่มีขนาดพิเศษหรือรูปทรงที่ไม่เป็นมาตรฐาน ช่วยให้สามารถใช้ในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการออกแบบและการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงในส่วนของคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่นของเหล็กกล่องก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับสูง โอกาสเสียรูปทรงน้อยเช่นกัน
5.ความสะดวกในการติดตั้ง
ด้วยคุณสมบัติของเหล็กกล่องที่มีความแข็งแรงและความแม่นยำในการผลิตสูง ทำให้การติดตั้งและการประกอบทำได้ง่ายและรวดเร็ว เหล็กกล่องคุณภาพสูงมักมีการเชื่อมต่อและการประกอบที่สะดวก ทำให้ลดเวลาการทำงานและยกระดับประสิทธิภาพในโครงการก่อสร้างหรือการผลิตได้เป็นอย่างดี
6.การควบคุมมาตรฐานคุณภาพเหล็กกล่องคุณภาพสูงมักผลิตตามมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เข้มงวด เช่น มาตรฐาน มอก. (TIS) / มาตรฐาน JIS / ซึ่งรับรองถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีคุณสมบัติที่เชื่อถือได้และเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด
การเลือกใช้เหล็กกล่องคุณภาพสูงในโครงการก่อสร้างหรือการผลิตเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเพิ่มความปลอดภัยให้กับโครงสร้างหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้งาน
เหล็กกล่องเหมาะกับงานประเภทใดบ้าง?
- งานโครงสร้างอาคาร: เหล็กกล่องมักใช้ในการสร้างโครงสร้างหลักของอาคาร เช่น โครงสร้างของบ้าน อาคารพาณิชย์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากมันมีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงต่าง ๆ และทนทานต่อสภาพอากาศ ฝนตกหรือแดดออกโอกาสชำรุดหรือขึ้นสนิมก็มีน้อยมาก ด้วยรูปทรงที่สม่ำเสมอและได้มาตรฐานจากการผลิต ยังทำให้การประกอบเชื่อมต่อระหว่างเหล็กกล่องสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย
- งานเฟอร์นิเจอร์: เหล็กกล่องไม่เพียงแต่นิยมใช้ในงานก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังนิยมนำมาประยุกต์ทำเฟอร์นิเจอร์เหล็กด้วย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ หรือชั้นวางของ เนื่องจากเหล็กกล่องเป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทานและสามารถรับน้ำหนักได้ดี ที่สำคัญ ยังสามารถนำมาออกแบบในรูปแบบที่หลากหลาย และตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีลวดลายและสีสันตามที่นักออกแบบต้องการได้ เข้ากับงานออกแบบตกแต่งสไตล์ Modern และสไตล์ Loft ได้อย่างลงตัว
- งานโครงสร้างทางวิศวกรรม: เหล็กกล่องถือเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างของสะพาน รั้ว หรือระบบการขนส่งเลยก็ว่าได้ เพราะมันมีความแข็งแรงและสามารถทนต่อสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงยังทนต่อการสั่นสะเทือนของการจราจร รองรับน้ำหนักได้ดี
- งานตกแต่งภายใน: เหล็กกล่องสามารถใช้ในงานตกแต่งภายในได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างราวบันได เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและดีไซน์ทันสมัยให้กับบันได การทำแผงกั้นหรือกำแพงตกแต่งที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัว หรือการนำเหล็กกล่องมาประยุกต์ทำเป็นของตกแต่ง เช่น การทำกรอบรูปภาพ หรือป้ายดีไซน์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความทนทานให้กับชิ้นงาน เป็นต้น
- งานเกษตรกรรม: เหล็กกล่องนิยมใช้ในการสร้างโครงสร้างสำหรับเรือนกระจกหรือกรงสัตว์ได้ เนื่องจากเหล็กกล่องมีความทนทานต่อสภาพอากาศและการใช้งานหนักได้เป็นอย่างดี มีความแข็งแรงและรองรับมือหรือแรงกัดของสัตว์ได้ อีกทั้งยังประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้างอาคารสำหรับจัดเก็บผลผลิตเกษตรกรรมได้อีกด้วย
วิธีการเลือกเหล็กกล่องให้ได้ประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์กับการใช้งาน
- ลักษณะของการใช้งาน
หากคุณกำลังมองหาเหล็กกล่องสำหรับสร้างโครงสร้างหลักของอาคาร เช่น เสา คาน หรือโครงหลังคา ต้องเลือกเหล็กกล่องที่มีความแข็งแรงทนทาน มีขนาดใหญ่และมีระดับความหนาพอสมควร เพื่อที่จะได้รองรับน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับการเลือกเหล็กกล่องเพื่อทำเฟอร์นิเจอร์หรืองานตกแต่งภายใน สามารถพิจารณาในขนาดที่เล็กลงหรือตามดีไซน์ความสวยงามที่ต้องการแทนได้
- เลือกขนาดและรูปร่างของเหล็กกล่อง
เหล็กกล่องทุกแบรนด์จะมีการระบุขนาด รูปร่าง และระดับความหนาให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง ผู้ใช้งานควรพิจารณาเลือกซื้อตามขนาด รูปร่าง และระดับความหนาให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน เช่น เหล็กกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะนิยมในงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ เพราะมีรูปทรงที่สมดุล นำมาเชื่อมต่อกันเป็นโครงเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย เป็นต้น
- พิจารณาจากคุณสมบัติทางกล
เหล็กกล่องเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว แต่ในงานโครงสร้างอาคารหรืองานที่ต้องการคุณสมบัติด้านการรองรับน้ำหนักสูง ๆ ควรเลือกซื้อเหล็กกล่องที่มีค่าความต้านทานแรงดึง (Yield Strength) สูง ๆ รวมถึงควรตรวจสอบความสามารถในการเชื่อมของเหล็กกล่องแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจซื้อด้วย เพราะเหล็กกล่องบางชนิดอาจมีความยากในการเชื่อม หรือในบางกรณีอาจไม่สามารถเชื่อมได้เลยก็มี
- ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานและการรับรอง
ควรเลือกเหล็กกล่องที่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพในระดับสากล เช่น มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) หรือ ISO (International Organization for Standardization) ซึ่งรับรองว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตามที่กำหนด รวมถึงผู้ซื้อควรตรวจสอบใบรับรองจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ เพื่อให้แน่ใจว่าเหล็กกล่องที่เลือกมีการผลิตตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องในทุก ๆ ครั้งด้วย
- พิจารณางบประมาณที่เหมาะสม
ผู้ซื้อต้องคำนึงถึงงบประมาณที่มีในการเลือกเหล็กกล่องอย่างละเอียดถี่ถ้วน ควรเลือกเหล็กกล่องที่มีความคุ้มค่าในด้านราคาและคุณภาพ แม้ว่าในบางครั้งเหล็กกล่องคุณภาพสูงอาจมีราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้ม เนื่องจากการลงทุนในเหล็กกล่องที่มีคุณภาพดีสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือการเปลี่ยนใหม่ในอนาคตได้
ร้านขายเหล็ก พรณรงค์ โลหะกิจ (Phornnarong Lohakit) เจ้าใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี